วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

       บันทึกการเรียนวันที่ 28 กันยายน 2555

  วันนี้คุณครูให้นักศึกษาช่วยกันวิเคราะห์ว่าแท็ปเล็ตกับเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร

เพิ่มเติม

                                  แจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ลดหรือเพิ่มปัญหาสังคม..!! 
               
   เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ซึ่งมี นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ได้จัดงานเสวนาเรื่อง “แจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ลดหรือเพิ่มปัญหาสังคม” สืบเนื่องมาจากการวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมภายหลังจากรัฐบาลแจกแท็บเล็ตให้กับเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 แล้วปรากฏว่า เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม ประเภทลามก อนาจารได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลบอกว่ามีการบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมไว้แล้ว 
    
       บรรดานักวิชาการและผู้ที่อยู่ในแวดวงคนทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กต่างก็กังวลใจในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่ที่รู้ว่ามีนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก็เชื่อว่า ปัญหาจะค่อยๆ ผุดออกมาเรื่อยๆ เมื่อเด็กวัยนี้ได้รับและนำไปใช้แล้ว
    
       งานเสวนาในวันนั้นมีวิทยากร 4 คน ได้แก่ แพทย์หญิง จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและพัฒนาการเด็ก นายกสมาคมนักวิจัยเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว, รองศาสตราจารย์นายแพทย์ อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก,นายวรพัฒน์ ทิวถนอม รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคุณอรุณี อัศวภาณุกุล ตัวแทนผู้ปกครองเด็กที่ได้รับแท็บเล็ต
    
       เนื้อหาในวันนั้นน่าสนใจทีเดียว อยากจะนำมาแบ่งปันให้คุณพ่อคุณแม่ได้รับข้อมูลความรู้ โดยที่จะแบ่งเป็น 2 ตอน ในตอนแรกขอเน้นเรื่องที่คุณหมอจันทร์เพ็ญ นำเรื่องสมองของมนุษย์มาเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีได้อย่างเห็นภาพ และน่าจะเกิดประโยชน์อย่างมากสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก
    
       คุณหมอเริ่มจากประโยคที่ว่า สมองของมนุษย์มีชีวิต ขณะที่เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมืออุปกรณ์ เมื่อใดที่เราพึ่งพาเทคโนโลยีมากเท่าไร การทำงานของสมองก็จะลดลง ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องการจำจดเบอร์โทรศัพท์ จากเมื่อก่อนคนเราสามารถจดจำเบอร์โทรศัพท์ต่างๆ ได้มากมาย ปัจจุบันเราให้โทรศัพท์ทำหน้าที่นี้แทน ทำให้สมองของเราไม่สามารถจำเบอร์โทรศัพท์ต่างๆ ได้
    
       ยิ่งคนเราพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายมากเท่าไร...เทคโนโลยีจะทำให้คนเราสูญเสียความสามารถของสมองมากเท่านั้น 
    
       คุณหมอเล่าถึงเรื่องการทำงานของสมองมี 3 ส่วน
    
       หนึ่ง สมองสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งเป็นสมองส่วนล่างมีหน้าที่ทำตามสัญชาติญาณ หากินเพื่อการอยู่รอด สัตว์บางประเภทคลอดลูกออกมาก็ทิ้งลูก เป็นการเอาตัวรอด ทำอย่างไรชีวิตถึงจะอยู่รอดได้
    
       สอง สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คือ นอกจากการมีชีวิตอยู่รอด ก็ต้องการอยู่รวมกันเป็นสังคม รักพวกพ้อง
    
       สาม สมองมนุษย์ คือ มีสมองส่วนบน สามารถคิดสิ่งใหม่ สมองส่วนนี้ไม่มีในสัตว์ เป็นการคิดแบบมีเหตุผล และเป็นสมองส่วนที่ทำให้เด็กมีความเป็นมนุษย์มากที่สุด
    
       “ที่ผ่านมา ต้องถามว่า คนเราใช้สมองส่วนไหนเป็นหลัก สัตว์หากินเพื่อชีวิตอยู่รอด คนเราก็ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เราเลือกซื้อของกิน สมองส่วนล่างทำงาน แต่เราได้พัฒนาสมองส่วนบนมากน้อยแค่ไหน”
    
       การพัฒนาสมองต้องมีการเรียนรู้ ต้องมีลำดับขั้นตอน
    
       คุณหมอถามว่า พ่อแม่สอนให้ลูกใช้มีดเมื่ออายุเท่าไร เราสอนให้เด็กรู้จักมีดว่ารูปร่างมันเป็นแบบนี้นะ แต่เรายังไม่ให้เด็กใช้มีด เพราะมันเป็นของมีคม อันตราย เราต้องสอนว่าต้องจับมีดอย่างไร ใช้อย่างไร ทำให้ดู ทำให้เห็นจริง เราคงไม่ปล่อยให้เด็กใช้มีดตั้งแต่เล็กใช่ไหม เช่นเดียวกับการก้าวขึ้นบันได ต้องก้าวทีละขั้น ไม่ใช่ก้าวทีละสี่ขั้น ก็มีโอกาสพลัดตกได้
    
       เช่นเดียวกัน คนเราต้องมีขั้นตอนของการพัฒนาตามวัย เหมือนการสร้างบ้านต้องมีเสาเข็ม แท็บเล็ตเหมือนหลังคา เราต้องสร้างรากฐานที่ดีมั่นคงซะก่อนจากนั้นค่อยๆ สร้างบ้าน ทีละสเต็ป ลงเสาเข็มให้แน่น โรงเรียนก็มีส่วนสำคัญ เป็นผู้สร้างผนัง ฝาบ้าน เมื่อไรถึงใส่หน้าต่าง ใส่ประตู
    
       แล้วเทคโนโลยีต้องเป็นขั้นสุดท้าย 
    
       ก่อนหน้านี้ มีงานวิจัยเกี่ยวกับสมองของเด็กไทย พบว่า เด็กไทยมีความสามารถในการเรียนรู้น้อยลง IQ ต่ำลงเรื่อยๆ จากครั้งแรกที่ทำการสำรวจ IQ เฉลี่ยอยู่ที่ 92 อีก 5 ปีต่อมา สำรวจอีกครั้ง เหลือ 89 และตัวเลขล่าสุด คือ 87เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก เด็กไทยไอคิวลดลงต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งที่หากวัดไอคิวเด็กแรกเกิดของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเลย มีไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ 130 กว่าๆ ซึ่งสูงกว่าบางประเทศเสียอีก 
    
       คำถามคือทำไมเด็กไทยยิ่งโต ยิ่งไอคิวต่ำลง เพราะอะไร ?
    
       การเรียนรู้ และพัฒนาการตามวัยของเด็กมาถูกทางหรือไม่...
    
       เด็กปฐมวัย ควรเรียนรู้ทุกอย่างจากของจริง ให้เขาได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 6 ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี สมองถึงจะพัฒนาอย่างมีศักยภาพ รวมไปถึงควรสอนให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ไม่ใช่ไปพึ่งพิ่งกับเทคโนโลยี
    
       “ในช่วง 2 ขวบปีแรกของชีวิต ไม่ควรดูทีวีเลย แต่หมออยากบอกว่าไม่อยากให้ดูในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เพราะสมองของเด็กยังไม่สามารถแยกแยะเรื่องจริง กับเรื่องในทีวีได้ แล้วในทีวีก็ มีแค่ 2 สัมผัส คือ เสียง และภาพ เท่านั้น จึงไม่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดีให้เด็กๆ ได้ พ่อแม่บางคนชอบให้ลูกดูสารคดีตั้งแต่ลูกเล็ก ๆ ประเภทรายการสารคดีดังๆ แล้วมองว่ามันดี มีประโยชน์กับเด็ก เช่น สัตว์ออกลูกมาเป็นไข่ ตัดภาพมาให้เห็น สักพักก็จะกลายเป็นตัว แล้วตัดภาพมาว่าสักพักก็เติบโต พัฒนาการต่าง ๆ เหล่านี้ เด็กเห็นก็จะไม่เข้าใจ อาจเข้าใจผิดว่า มันสามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่นานเหมือนในทีวี”
    
       ปัจจุบันเด็กไทยมีปัญหาเรื่องการใช้สมองเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีทุกชนิดไม่เหมาะกับเด็กปฐมวัย 
    
       ผู้ใหญ่ควรสอนเด็กให้มีความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด เทคโนโลยีเป็นแค่เครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้น เราควรเลือกใช้ว่า เมื่อไหร่ควรใช้ เมื่อไหร่ควรสอน การสอนให้เด็กเรียนรู้ต้องสอนแบบเป็นขั้นตอน เริ่มจาก 1 ก่อน แล้วต่อเป็น 2 3 4 ไม่ใช่กระโดดข้ามขั้น
    
       และอีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมากก็คือ เทคโนโลยีปีประเภท Virtual Reality ที่มาแรงมาก ในขณะที่เด็กเล็กยังแยกแยะไม่ได้ ที่ผ่านมาเรามุ่งแต่ให้อยากเด็กมีความเสมอภาคกัน แต่อยากจะบอกว่าเด็กก็เสียสิทธิในการพัฒนาสมองด้วยเหมือนกัน


บันทึกการเรียนวันที่ 21 กันยายน 2555
วันนี้คุณครูได้กำกนดวันส่ง blogger และแนะนำ ให้แก้ไขส่วนที่ขาด
      บันทึกการเรียนวันที่ 14 กันยายน 25555

      อาจารย์ให้กลุ่มนักศึกษาที่ยังไม่ร้องเพลงออกไปร้องเพลงหน้าห้องให้ครบทุกกลุ่ม จากนั้นก็ให้นักศึกษาออกมาเล่านิทานตามที่ได้จับฉลากไป ระหว่างที่เล่าอาจารย์ก็บันทึกเป็นวิดีโอเก็บไว้เพื่อเป็นผลงานของนักศึกษา กลุ่มดิฉันได้เล่านิทานแบบ เล่าไปพับไป







        บันทึกการเรียนวันที่ 7 กันยายน 2555

                           วันนี้คุณครูได้แจกสีกับแบบเขียนพยัญชนะไทยให้คนละหนึ่งชุด




 บันทึกการเรียนวันที่ 31 สิงหาคม 2555

วันนี้คุณครูให้นักศึกษานำเสนอเพลงที่แต่งมาพร้อมท่าประกอบ และอาจารย์ก็ได้บันทึกเป็นวิดีโอเก็บไว้ด้วย เพื่อเป็นผลงานของนักศึกษา


เชิญมาเล่น

 
              
                           มา มา มา พวกเราชวนกันมา
                    
                         มาสิ เชิญมา มาเล่นด้วยกัน  
                    
                     มาร้องระบำสุขสันต์สำราญเริญใจ                                        
                                      
                         มาสิเร็วไว มาเล่นด้วยกัน

       บันทึกการเรียนวันที่ 24 สิงหาคม  2555

    วันนี้คุณครูให้นักศึกษาฟังเพลงเกาะสมุย แล้วให้บอกว่าได้ยินอะไรบ้าง เพลงต้องการบอกอะไร


                                                 เพลง เกาะสมุย






 
อาจารย์ยกตัวอย่างการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน 

ในนิทานเรื่องช้างน้อยอัลเฟรด



images/stories/alf34.jpg


เรื่องย่อ
                อัลเฟรดเป็นช้างที่มีงวงยาวมากอัลเฟรดรู้สึกอายที่ตนเองมีงวงยาวกว่าช้างตัวอื่นๆ จึงพยายามซ่อนงวงของตนวัน   หนึ่งอัลเฟรดได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดอยู่บนกระดานลื่น อัลเฟรดได้ใช้งวงช่วยเด็กผู้หญิงลงมา สัตว์อื่นๆ พากันชื่นชมอัลเฟรด ตั้งแต่นั้นมาอัลเฟรดก็อยู่อย่างมีความสุขแม้ว่าตนเองจะไม่เหมือนใคร



วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555






               บันทึกการเรียน วันที่ 17 สิงหาคม 2555

              
               วันนี้ไม่มีการเรียนการสอน อาจารย์ให้มาเรียนชดเชยวันที่ 19 สิงหาคม 2555